บทที่ 1 ไม่เป็นที่รักใคร่
บทที่ 1 ไม่เป็นที่รักใคร่
ปิตาธิปไตยหรือการชอบลูกชายมากกว่าลูกสาวนั้นมีมาตั้งแต่ในอดีต โดยเฉพาะในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งลูกชายได้แต้มเยอะกว่าลูกสาวเมื่อทำงานในคอมมูน หรือหน่วยการผลิตทางการเกษตร ที่สามารถนำแต้มเหล่านั้นมาแลกเปลี่ยนเป็นอาหาร เพื่อเลี้ยงดูปากท้องตนเองและคนในครอบครัว เพราะแบบนั้นอย่างไรล่ะ จึงทำให้การมีลูกชายเป็นที่นิยมมากกว่าลูกสาว จนมีคำติดปากที่กล่าวว่า ‘ลูกสาวเสียเงินเปล่า’
และนี่ยังไม่รวมกับความเชื่อที่มีมาตั้งแต่โบราณ ที่ว่าการมีลูกสาวนั้นก็เหมือนมีกระโถนตั้งอยู่หน้าบ้าน เหมือนน้ำที่สาดออกไป เพราะเมื่อโตขึ้นก็ต้องแต่งออกไปและกลายเป็นคนของตระกูลอื่นอยู่ดี นั่นจึงทำให้ลูกสาวไม่เป็นที่พอใจ หรือไม่เป็นที่ต้องการของคนในครอบครัวที่มีความคิดหัวโบราณแบบนั้น
เช่นเดียวกับ ‘เว่ยซิ่วอิง’ เด็กสาวที่โชคร้ายผู้เกิดมาในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง หากผู้คนในปัจจุบันรับรู้คงได้แต่คิดว่านั่นเป็นค่านิยมเก่า ๆ ที่ไม่ควรมีอีกแล้ว เนื่องจากชายหรือหญิง ล้วนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน!!
แต่ในตอนนี้ยุค 70 คือ ยุคปัจจุบันของเว่ยซิ่วอิง นั่นทำให้แม้จะเป็นลูกจากบุตรชายคนโต แต่กลับไม่เป็นที่พอใจของคนในบ้าน แถมคนเป็นย่ายังรังเกียจหลานสาวคนนี้อย่างกับอะไรดี
“อิงอิง ลูกพักหน่อยเถอะ” ผู้เป็นแม่มองลูกสาวที่เหงื่อไหลอาบหน้าด้วยความเป็นห่วง ยิ่งเห็นใบหน้าซีดเซียวของลูกก็ยิ่งกังวลใจ
เหม่ยฟางรู้สึกสงสารลูกยิ่งนัก แถมยังรู้สึกผิดเรื่องที่ตนเองไม่มีลูกชายไว้สืบทอดตระกูลตามความคาดหวังของพ่อแม่สามี ถ้าตนเองสามารถคลอดลูกชายได้สักคน ลูกสาวอย่างเว่ยซิ่วอิงคงไม่โดนกดดันและถูกใช้งานหนักถึงขนาดนี้
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ ฉันไหว” เว่ยซิ่วอิงในปีนี้อายุสิบแปดปี เด็กสาวต้องทำงานในคอมมูนให้ได้หกแต้ม ซึ่งน้อยกว่าผู้ชายตัวโต ๆ เพียงไม่กี่แต้มเท่านั้น แล้วจะเอาแรงจากที่ไหนมามากมายเพื่อทำงานให้ได้แต้มอย่างที่ผู้เป็นย่าต้องการ
อีกทั้งครอบครัวของเธอที่ทำงานหนักกว่าใครกลับได้กินน้อยกว่าคนอื่น เนื่องจากว่าอาหารที่มีต้องจุนเจือคนทั้งครอบครัว เพราะยังมีลูกหลานที่ยังเรียนอยู่อีกหลายคน แต่นั่นก็เป็นครอบครัวของอา ไม่ใช่ครอบครัวของเธอ
หากช่วงไหนที่เว่ยซิ่วอิงอ่อนแอมาก ๆ อย่างเช่น ช่วงมีรอบเดือนเด็กสาวมีอาการแทบจะตายให้ได้ทุกครั้ง และดูเหมือนคราวนี้ก็ไม่ได้ต่างจากครั้งก่อน ๆ
“อย่าฝืนตัวเองนะลูก ถ้าไม่ไหวก็ให้รีบบอกพ่อ” เว่ยตงกล่าวกับลูกสาวอย่างเป็นห่วง แม้สายตาจะไม่ได้มองมา แต่แผ่นหลังที่ก้มหน้างก ๆ ทำงานจนไม่อยากจะพัก ก็เพื่อหวังจะแบ่งเบาความเหน็ดเหนื่อยของลูกเมียบ้าง นี่จึงทำให้เว่ยซิ่วอิงน้ำตาคลอเมื่อได้รับความห่วงใยจากคนเป็นพ่อ
ในขณะเดียวกัน เธอรู้สึกเหมือนหน้ามืดจนเซเล็กน้อย ก่อนกลับมายืนได้อย่างมั่นคง พร้อมกะพริบตาปริบ ๆ มองไปรอบ ๆ เวลานี้ดูเหมือนความวิงเวียนเมื่อครู่จะหายไปแล้ว คงเพราะวันนี้แดดแรงมากจริง ๆ
“อิงอิงไหวไหมลูก” คนเป็นแม่ยังหันไปมองลูกสาวบ่อย ๆ ด้วยความกังวล เห็นอีกฝ่ายตามความเร็วตนไม่ทันก็คอยหันไปถามอยู่เสมอ
“ไหวค่ะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว” เว่ยซิ่วอิงตอบกลับพร้อมกับยิ้มให้เพราะไม่อยากให้แม่เป็นห่วง และพยายามตามความเร็วของพวกท่านให้ทัน จนไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธอเวียนหัวหรือไม่เวียนหัวกันแน่
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน สามคนพ่อแม่ลูกเก็บอุปกรณ์ทางการเกษตรไว้ในเพิงไม้ของคอมมูน ก่อนจะไปรายงานตัวเพื่อรับแต้มเหมือนเช่นทุกครั้ง
“วันนี้ได้ห้าแต้มนะซิ่วอิง” นางเจียคอยทำหน้าที่แจกจ่ายแต้มและตรวจงานเอ่ยปากขึ้น เธออดที่จะมองเด็กสาวด้วยความสงสารไม่ได้
“เอาหนึ่งแต้มของผมลงให้ลูกเถอะ” คนเป็นพ่อรีบพูดขึ้นมา เนื่องจากรู้ดีว่าหากให้ลูกสาวกลับบ้านไปทั้งแบบนี้ มีหวังแม่ของเขาต้องตีลูกเขาตายแน่ ๆ
“แต่ของเว่ยตงก็ไม่ได้เยอะ ฉันกลัวว่านางหวังซื่อจะมีปัญหาน่ะสิ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เอาตามที่ผมว่าเถอะ ขอบคุณป้าเจียที่เป็นห่วง เรื่องนี้ผมรับมือได้” เว่ยตงกล่าวยืนยันอีกครั้ง ที่ตนเองต้องการเอาแต้มให้ลูกสาวเพื่อที่ไม่ต้องโดนแม่เขาด่าหรือทุบตี แต่ในขณะเดียวกันกลายเป็นเว่ยซิ่วอิงยืนตัวสั่นด้วยความเสียใจ เมื่อคิดว่าพ่อต้องโดนทำโทษเพราะตัวเองอีกแล้ว
“กลับบ้านกันเถอะ”
เว่ยตงหันมายิ้มให้ภรรยาและลูกด้วยความอ่อนโยน พร้อมกับยื่นมือให้กับคนที่เขารักทั้งสอง เหม่ยฟางยื่นมือให้สามีด้วยรอยยิ้ม แม้จะไม่รู้ว่ากลับไปบ้านแล้วจะเจออะไรก็ตาม ส่วนเว่ยซิ่วอิงทำได้เพียงจับมือพ่อแม่กลับบ้านที่ไม่เหมือนและไม่ใช่บ้านสำหรับพวกเขาด้วยกัน
ในขณะที่เดินกลับบ้าน แวบหนึ่งในความรู้สึกของเว่ยซิ่วอิงอยากจะหนีไปให้ไกล เธออยากพาพ่อแม่บินหนีไปจากบ้านนี้ บ้านที่มีย่าใจร้ายคอยโขกสับ พร้อมกับเอ่ยขอร้องในใจว่าใครก็ได้ โปรดพาเธอและพ่อแม่หนีไปด้วย แต่ดูเหมือนคำขอร้องอ้อนวอนของเว่ยซิ่วอิงจะไม่เป็นผล เมื่อกลับมาถึงบ้านเสียงตะโกนที่คุ้นหูก็ดังขึ้น
“ทำไมกลับมาช้ากันนัก นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว นังเด็กเสียเงินกับสะใภ้ใหญ่ยังไม่รีบเข้าครัวไปเตรียมข้าวปลาอาหารออกมาอีก!”
เสียงโวยวายดังขึ้นมาก่อนตัว ร่างอุ้ยอ้ายของนางหวังซื่อผู้เป็นย่าเดินออกมาพร้อมกับหลานสาวคนโปรดที่สวมใส่ชุดกระโปรงตัวใหม่สวยงามพยุงออกมา ซึ่งนั่นก็คือ ‘เว่ยหนาน’ ลูกสาวของบ้านรองนั่นเอง
หากจะเปรียบเธอเป็นหลานชัง เว่ยหนานคงจะเป็นหลานรัก!!
พอเห็นทั้งสองปรากฏตัวขึ้น เว่ยซิ่วอิงก็ก้มหน้าลงแล้วขยับซ่อนตัวอยู่หลังบิดาโดยอัตโนมัติอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากโดนกดข่มมานานปีย่อมรู้สึกไม่กล้าที่จะต่อต้านหญิงชราตรงหน้าที่ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าของตน
“แม่ พวกเราเพิ่งทำงานเสร็จก็รีบกลับมาทันที เวลานี้เว่ยหนานก็กลับมาจากโรงเรียนแล้ว สะใภ้รองก็น่าจะกลับมาจากรับเว่ยจุนแล้วนี่ครับ ทำไม...”
เว่ยตงกล่าวขึ้นมาเพื่อออกหน้าปกป้องภรรยาและลูกสาว ทว่ากลับโดนนางหวังซื่อสวนกลับทันที โดยที่เว่ยตงยังพูดไม่ทันจบประโยคเลยด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องพูดมาก! แกมีปากไว้พูดแต่เรื่องไร้สาระเท่านั้นเหรอ เด็ก ๆ แค่เรียนก็เหนื่อยจะแย่แล้ว น้องสะใภ้แกยังต้องดูแลทั้งบ้าน ทั้งดูแลลูก ๆ ว่าแต่พวกแกนั่นแหละ วันนี้ทำงานได้กี่แต้มกันเชียว!”
“วันนี้ผมทำงานได้น้อยหน่อยนะ เพียงแปดแต้มเท่านั้น ส่วนเหม่ยฟางและอิงอิงทำงานได้ตามเป้าที่แม่กำหนด”
เว่ยตงเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก เลยตอบกลับไปเพียงเท่านั้น แต่นั่นกลับทำให้หญิงวัยชรากลับโมโหเลือดขึ้นหน้า เพราะรู้ดีว่าการที่เว่ยตงทำแต้มได้เพียงเท่านี้คงจะเอาแต้มแบ่งให้กับนังเด็กเสียเงินและเมียที่คลอดลูกชายไม่ได้ตามเคย จึงได้ชี้หน้าด่ากราดอย่างไม่สนใจใคร
“แกแบ่งแต้มให้พวกมันอีกแล้วใช่ไหม เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ นังเด็กพวกนี้ แกมานี่เดี๋ยวนี้เลยนะเว่ยตง แกต้องโดนทำโทษที่ไม่รู้จักสั่งสอนลูกเมียตัวเองว่าควรจะขยันมากกว่านี้” พูดจบย่าเว่ยมองหาสิ่งที่ต้องการ เมื่อเจอไม้กวาดก็หยิบขึ้นมาฟาดใส่หลังเว่ยตงอย่างแรง
เหม่ยฟางและซิ่วอิงยืนอยู่ไม่ไกลก็ได้แต่ตกใจจนตัวสั่น แม้จะพบเจอเรื่องแบบนี้แทบวันเว้นวัน แต่ก็ยังไม่เคยชินและไม่เคยทำใจได้เลยสักครั้งเดียว
ทั้งสองไม่คิดว่าย่าเว่ยจะกล้าทำร้ายลูกชายตนเองที่โตขนาดนี้ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่ทำผิด
“หน็อย ไอ้คนไม่รักดี ไอ้ลูกอกตัญญู ส่วนพวกแกยังไม่รีบเข้าครัวไปทำกับข้าวอีก!”
“แม่อย่าตีลูกกับเมียผมเลย ผมผิดเองที่รู้สึกไม่สบายเลยทำงานไม่ได้ตามที่แม่หวัง ผมขอโทษครับ” เว่ยตงรีบร้องห้ามพร้อมกับเข้าไปกอดปกป้องภรรยา เมื่อเห็นแม่พยายามจะเข้าไปตีเหม่ยฟาง ทำให้ชายหนุ่มโดนตีจนเสียงดังอั้ก
เพียงแค่คิดว่าภรรยาที่รูปร่างบอบบางอาจโดนตีด้วยไม้กวาดที่ใหญ่เกือบเท่าแขน เขาก็หวาดกลัวขึ้นมาแล้ว เว่ยตงคอยปกป้องลูกเมียมาหลายสิบปีย่อมว่องไวในการช่วยป้องกันไม่ให้ทั้งสองคนโดนตี แต่ก็ใช่ว่าจะป้องกันได้ทุกครั้ง อย่างเช่นในครั้งนี้
นางหวังซื่อตวาดลั่นเมื่อไม่ได้ดั่งใจ “แกปกป้องนังจิ้งจอกนี่อีกแล้ว รีบให้มันเข้าครัวเลยนะ ยังยืนบื้ออะไรอยู่อีก!” เห็นว่าตีคนหนึ่งไม่ได้ มองไปอีกด้านเห็นเว่ยซิ่วอิงยืนอยู่เพียงลำพัง นางหวังซื่อก็หันไปฟาดลงตรงหน้าหล่อนทันที
เว่ยซิ่วอิงไม่ทันได้ตั้งตัว คิดว่าตัวเองยืนอยู่หน้าครัวไม่น่าจะมีปัญหา คาดไม่ถึงว่าผู้เป็นย่าจะฟาดไม้กวาดมาทำให้หลบไม่ทัน แม้เบี่ยงตัวหลบก็ไม่อาจหนีพ้นจากไม้กวาดของย่าได้
“แม่อย่า!”
ปั้ก! เสียงไม้กวาดฟาดเข้าที่หัวของซิ่วอิงเข้าเต็มแรง เด็กสาวซวนเซตามแรงที่ฟาดมาจนร่างล้มลงกับพื้น รู้สึกเหมือนสมองอื้ออึงไปชั่วขณะหนึ่ง
“อิงอิง!!” เว่ยตงและเหม่ยฟางรีบวิ่งเข้าไปกอดลูกสาวด้วยท่าทีร้อนรน ไม่คิดว่าผู้เป็นย่าของเด็กสาวจะกล้าทำเช่นนี้
นางหวังเห็นอย่างนั้นก็พึงพอใจ ในที่สุดก็ทำให้พวกครอบครัวเว่ยตงกลัวได้จริง ๆ คิดแล้วก็กอดอกมองอย่างพอใจ และสายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา