ตอนที่ 6 เพื่อนบ้าน
“คนพิการเช่นข้าสามารถทำให้เจ้ามีความสุขได้จริงหรือ” น้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ของหานลั่วอี้ ไม่ได้ทำให้ความสุขบนใบหน้านางลดลง บุรุษผู้นี้ยังคงกังวลว่าเพราะขาทั้งสองข้างจะทำให้นางลำบาก นางจึงเดินเข้าไปใกล้อีกก้าววางมือลงบนหลังมือแกร่ง
เยว่ฉียังไม่พร้อมจะพูดเรื่องมิติให้สามีฟังตอนนี้ นางต้องการเวลามากกว่านี้ รอให้เขาคุ้นเคยกับนางทั้งยังเชื่อใจกันมากกว่านี้อีกสักนิด ให้ความรู้สึกมากมายก่อเกิดเป็นความยึดมั่นและไว้ใจ เมื่อถึงตอนนั้นนางจะไม่ปิดบังและพูดทุกอย่างออกไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เยว่ฉีต้องการจะรู้ว่าหากเขาสัมผัสถึงความผิดปกติบางอย่างจะยังปฏิบัติต่อนางเช่นเดิมหรือไม่
ไม่ใช่ว่าเยว่ฉีขี้ระแวง แต่กลับคนที่พึ่งเจอกันแม้จะรู้สึกว่า คนคนนี้ไว้ใจได้ เขาไม่ใช่คนเลวร้าย อีกทั้งนางยังโชคดีจริง ๆ ที่ได้แต่งงานกับเขา หากแต่งงานกับคนอื่นเยว่ฉีก็ไม่มั่นใจว่าจะพบโชควาสนาและมีชีวิตจากที่เป็นอยู่หรือไม่ แต่ถึงจะโชคดีแต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้ทั้งหมด เรื่องความเชื่อใจ น้ำใสใจจริงต้องใช้เวลาดูกันอีกยาว
“ข้าพูดความจริง”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ในเมื่อนางยืนยันเช่นนั้นเขาก็ไม่เอ่ยย้ำ ทั้งยังไม่ถามว่านางหายไปที่ใด ความไว้ใจจะเกิดขึ้นได้ต้องใช้เวลาและเขาก็หวังว่าพอเวลาผ่านไปนานกว่านี้นางจะยอมบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในวันนี้
เยว่ฉีเดินอ้อมไปด้านหลังรถเข็นต้องการพาหานลั่วอี้เข้าไปในบ้าน ทว่ายังไม่ทันจะได้หันรถกลับไปทางประตูก็ได้ยินเสียงเรียกขานจากหน้าบ้านเสียก่อน
ทั้งสองคนมองหน้ากันนึกสงสัยอยู่ไม่น้อย ก่อนจะตัดสินใจออกไปหน้าบ้านด้วยกันทั้งคู่
หลังบานประตูเปิดออกตรงหน้าทั้งสองคนมีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรียืนอยู่ ใบหน้าคนแปลกหน้าประดับรอยยิ้ม ดวงตาใสซื่อไร้พิษภัย
“มีอันใดหรือ?” เยว่ฉีเอ่ยถามออกไป ในมือคนทั้งสองมีไข่ไก่และเนื้อสัตว์บรรจุอยู่ในตะกร้าใบเล็ก
“สวัสดีเมื่อวานไม่ได้มาทักทาย ข้ากับภรรยาอาศัยอยู่บ้านหลังข้าง ๆ เห็นว่าบ้านหลังนี้มีคนย้ายมาอยู่ใหม่จึงได้นำของมาเยี่ยมต้อนรับ” บุรุษร่างกายกำยำท่าทางซื่อ ๆ กล่าวพร้อมกับชี้มือบอกว่าบ้านตั้งอยู่ที่ใด คำพูดและสายตาของบุรุษตรงหน้ายามเอ่ยประโยคนี้เต็มไปด้วยความจริงใจไร้การเสแสร้ง พลันทำให้ทั้งสองคนรู้สึกดีต่อคู่สามีภรรยาไม่น้อย
ผู้ถูกเยี่ยมเยียนหลังรู้สึกแปลกใจก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ด้วยเมื่อวานชาวบ้านส่วนมากต่างไม่อยากจะต้อนรับคนทั้งสาม คงจะเห็นว่าครอบครัวนางมีทั้งคนป่วยและคนพิการ ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำเหล่านี้จึงไม่ต้องการยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว หรือไม่ก็กลัวว่าพวกเขาจะไปสร้างความลำบากให้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้การกระทำของทั้งสองคนจึงทำให้สองสามีภรรยาอดที่จะรู้สึกประหลาดใจและเป็นมิตรอยู่หลายส่วน
ในยามที่คุณลำบากมักจะเห็นน้ำใสใจจริงได้ชัดเจนที่สุดคำพูดนี้ไม่เกินจริง และสองคนนี้ทั้งที่ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ดีมากอันใดแต่กลับยื่นความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อยมาให้
เยว่ฉีจำได้ว่าไข่ไก่สำหรับโลกนี้ราคาไม่ถูกเลยแต่มองดูของในตะกร้าแล้วกลับมีถึงหกฟอง
“ของพวกนี้อาจจะเป็นเพียงของเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ข้ากับภรรยาตั้งใจนำมาให้”
“รู้จักกันแล้วไม่จำเป็นต้องมากพิธี ข้าชื่อเยว่ฉี ส่วนบุรุษผู้นี้ชื่อหานลั่วอี้ สามีข้า” เยว่ฉียื่นมือไปรับตะกร้าของ กล่าวยิ้ม ๆ อีกฝ่ายคล้ายพึ่งรู้ตัวจึงยิ้มแห้งมาให้
“เสียมารยาทแล้ว ข้าชื่อเฟิงซิ่ว ส่วนสตรีข้างกายชื่อหลัวหรูภรรยาข้า เรียกข้าว่าพี่เฟิงแล้วกันดูแล้วเจ้าและสามีน่าจะอายุน้อยกว่า ส่วนภรรยาข้าพึ่งอายุสิบแปด”
“ยินดีที่ได้รู้จัก งั้นข้าไม่ถือมารยาทขอเรียกท่านว่าพี่เฟิง พี่หลัวแล้ว ข้าอายุสิบหก ส่วนสามีข้าอายุยี่สิบปี”
“เช่นนั้นข้าขอเรียกน้องเยว่ กับน้องหานแล้ว” การพูดคุยแสนสนิทสนมของคนทั้งสี่สร้างประกายความสับสนมึนงงให้คนผ่านไปผ่านมาไม่น้อย มีชาวบ้านหลายคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจที่สองสามีภรรยามาทำความรู้จักกับครอบครัวหาน ถึงกับมีหลายคนหันมาทางพวกเขาแล้วหันไปกระซิบกระซาบกัน
เยว่ฉีไม่พูดก็ไม่ได้จึงเอ่ยถามออกไป
“พี่เฟิง พี่หลัว อย่าได้เข้าใจผิดว่าข้าคิดเป็นอื่นข้าล้วนดีใจที่พวกท่านเข้ามาทักทายครอบครัวข้า เพียงแต่ข้าสงสัยพวกท่านไม่กลัวว่าชาวบ้านจะมองท่านไม่ดีหรือ?” คำพูดตรงไปตรงมาของนางสร้างรอยยิ้มบนดวงตาคนทั้งคู่ ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันก่อนที่หลัวหรูจะหันมามองเด็กสาวตรงหน้า เอ่ยเสียงอ่อนโยน
“น้องเยว่ ในเมื่อเจ้าสงสัยเช่นนั้นก่อนจะตอบคำถามข้าขอถามเจ้าสองสามประโยค”
“เชิญพี่หลัวกล่าว”
“เจ้าและสามีเคยฆ่าคนโดยไม่สนดีชั่วหรือไม่?”
“ไม่เคย”
“เจ้าและสามีเคยทำเรื่องผิดศีลธรรม ฉุดเด็กและสตรีหรือไม่”
“ล้วนไม่เคย”
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำแล้วเหตุใดข้ากับสามีจะเข้ามาทำความคุ้นเคยไม่ได้เลา เป็นเพื่อนบ้านกันสนิทสนมกันไว้ไม่ดีกว่าหรือ? ข้ากับสามีเพียงต้องการทำความรู้จัก อยากจะรู้ว่าคนที่มาอาศัยอยู่บ้านข้าง ๆ เป็นคนเช่นไร มีนิสัยเช่นไร ฟังจากที่พูดคุยกันไม่กี่ประโยคข้าก็พอจะรู้ว่าพวกเจ้าหาใช่คนชั่วช้า ทั้งยังเปิดเผยไม่น้อย” ประโยคคำพูดของนางสร้างความอบอุ่นใจและความประทับใจให้คนทั้งคู่ไม่น้อย คำพูดของหลัวหรูออกมาจากใจจริง น้ำเสียงหนักแน่นและสายตาซื่อสัตย์ช่วยให้ทั้งสองรู้สึกว่าการย้ายมาอยู่บ้านชวีซานก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด อย่างน้อยก็ได้พบพานเพื่อนบ้านที่จริงใจเช่นนี้
ได้พบกับผู้คนที่ไม่รังเกียจความเป็นอยู่เช่นนี้ของพวกเขา ซึ่งในโลกนี้หาได้ยากยิ่งนัก
“พี่หลัวข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่พวกท่านหยิบยื่นให้ ในวันหน้าหากมีวาสนาได้ดี ข้าล้วนไม่คิดลืมบุญคุณ”
“บุญคุณอันใดกัน ข้านำของมาให้พวกเจ้า ใช่ต้องการการตอบแทน แค่จริงใจต่อกันเป็นพอ” เฟิงซิ่วเอ่ยขัดคำพูดระรื่นหูของเยว่ฉี ในดวงตาของเขามีความเอ็นดูอยู่หลายส่วน เป็นความเอ็นดูแสนบริสุทธิ์ไร้ความรู้สึกอื่นใด
“ใช่แล้วน้องเยว่ อย่างที่สามีข้ากล่าว อย่าได้คิดเป็นบุญคุณ”
“ขอบคุณพี่ทั้งสองอีกครั้ง เช่นนั้นไม่กล่าวเรื่องนี้แล้ว พวกท่านอุตส่าห์มาหาแต่ข้าตอนนี้ไม่มีสิ่งใดจะมอบให้ ข้าละอายใจแล้ว” เยว่ฉีพูดยิ้ม ๆ ทั้งสองเข้าใจว่านางเพียงหยอกเย้าจึงไม่คิดสิ่งใด หัวเราะเบา ๆ ไปกับคำพูดนั้น
หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็พูดคุยกันอีกหลายประโยค หานลั่วอี้เข้าร่วมการพูดคุยบ้างบางครั้ง แต่ส่วนมากจะมีเพียงครอบครัวตระกูลเฟิงและเยว่ฉีที่พูดคุยมากกว่า จวบจนมาถึงช่วงหนึ่งเยว่ฉีเอ่ยถามว่าพอจะมีงานใดให้นางทำได้บ้าง ทั้งสองจึงมองหน้ากันแล้วเอ่ย
“น้องเยว่ ทุกเช้าข้ากับสามีจะขึ้นเขาไปเก็บพืชวิญญาณมาขาย เช่นนั้นเจ้าก็ไปกับพวกข้า ข้าจะสอนดูพืชวิญญาณให้เจ้า แม้รายได้จะไม่ถึงกับทำให้ร่ำรวยแต่ก็เพียงพอใช้จ่ายในครัวเรือน แต่หากว่าเจ้าโชคดีพบเจอพืชวิญญาณระดับสูง เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นโชควาสนา เพราะพืชวิญญาณระดับสูงมักได้ราคางาม”
“ขอบคุณพี่หลัวสำหรับคำแนะนำ เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว พรุ่งนี้ขอขึ้นเขาไปเก็บพืชวิญญาณพร้อมกับพวกท่าน”
พูดคุยกันไม่นานก็รู้สึกสนิทสนมราวกับรู้จักกันมาหลายปี หลังพูดคุยจนเวลาล่วงเลยไปหลายเค่อ ทั้งสองก็ขอตัวกลับบ้านไปทำงานส่วนอื่นต่อ เยว่ฉีก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะรั้งคนให้อยู่ต่อจึงกล่าวลากันสองสามประโยคก่อนจะแยกย้าย
คืนนี้เยว่ฉีตั้งใจจะศึกษาหนังสือเล่มน้อยที่นำออกมาด้วย ผู้อาวุโสหมิงบอกกับนางว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับพืชวิญญาณในสวน
ใช่แล้ว สวนหญ้าที่นางเข้าใจในตอนแรกคือสวนพืชวิญญาณซึ่งตอนนี้เยว่ฉียังไม่มีคุณสมบัติในการนำออกมาใช้ ผู้อาวุโสบอกว่ารอให้ร่างกายนางแข็งแรงมากกว่านี้ก่อนค่อยมาตรวจสอบดูว่านางมีคุณสมบัติในการฝึกปราณหรือไม่ หากไม่มีก็ยากที่จะใช้งานมิติได้ดี ต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่เหมาะสมถึงจะสามารถใช้พลังพิเศษได้อย่างเต็มที่
ส่วนน้ำวิเศษที่ได้มาจากบ่อ เรียกว่า น้ำแห่งชีวิต ซึ่งออกมาจากต้นไม้แห่งชีวิตที่ยืนตระหง่านอยู่กลางบ่อน้ำ เยว่ฉีคิดทบทวนว่าจะเริ่มรักษาหานลั่วอี้อย่างไรดี เพราะผู้อาวุโสบอกว่าต้องค่อย ๆ ให้ดื่ม ในเมื่อยังไม่พร้อมจะบอกความลับที่เก็บงำเอาไว้ นางจึงตัดสินใจจะหยดลงไปในอาหารที่ทำ
“พรุ่งนี้จะเริ่มหาเงินแล้วขอให้เก็บพืชวิญญาณได้เยอะ ๆ” เยว่ฉีพึมพำกับตัวเองก่อนจะก้าวขึ้นเตียงมานอนเคียงข้างหานลั่วอี้
หานลั่วอี้ได้ยินคำพูดเบาหวิวของนาง ในนัยน์ตาซึ่งซุกซ่อนอยู่ในความมืดปรากฏคลื่นอารมณ์เล็ก ๆ