ตอนที่ 4 “ไม่อยากหมั้นเหรอ”
ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตกใจไปเล็กน้อย คุณนายเฉินถึงขึ้นยกมือทาบอกเพราะไม่เคยคิดว่าเหม่ยหลินจะถามเรื่องนี้ขึ้นมา แม้ว่าเฉินต้าเว่ยจะมองเธอนิ่ง ๆ ก็ตาม
“หนูก็แค่ถามดูเท่านั้นเอง”
“ได้ ไม่ผิดหรอกยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ที่จริงการหมั้นหมายก็เป็นส่วนหนึ่งหากว่าในอนาคตเธอไม่ยินยอม ก็สามารถถอนหมั้นกับผมได้เลย”
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะแอบยิ้มออกมา นี่ยังไม่ทันหมั้นกับเขาก็นึกถึงเรื่องถอนหมั้นแล้วงั้นเหรอ เขาเป็นเพื่อนเล่นของเธอหรือไง ตลอดเวลาเอาแต่พูดถึงเขาตามงานสังคมและข่มขู่ผู้หญิงหลายคนที่คิดจะเข้าหาเขาแต่ทำไมมาวันนี้กลับอยากจะถอนหมั้นเองเสียอย่างนั้น
“เอาเป็นว่าอย่าพึ่งพูดเรื่องนั้นเลยนะคะ คุณลู่คะฉันว่าเรามาคุยเรื่องจัดงานกันดีกว่าค่ะ แขกที่จะเชิญมามีแค่ญาติ ๆ..”
หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อหันมามองตาดุ ๆ ของแม่เธอก็ทำให้เหม่ยหลินรู้สึกอึดอัดเธอจึงขอตัวออกไปเดินเล่นในสวนเพื่อลดความเครียดในวันนี้ ซึ่งเธอออกไปไม่นานเฉินต้าเว่ยก็ตามเธอออกไป
สวนด้านนอก
"ให้ตายเถอะ มีโอกาสเกิดมาเป็นลูกคนรวยสักทีก็อยากจะอยู่ใช้เงินสักหน่อยทำไมจะต้องรีบหมั้นแล้วมาแต่งงานกับอีตาหน้าตายนั่นด้วยล่ะ"
เธอบ่นไปพร้อมกับค่อย ๆ เดินรับลมที่สนามหญ้าข้างนอกที่ค่อนข้างโปร่งสบาย ผิดกับบรรยากาศข้างในห้องที่เธอพึ่งเดินออกมา
“ค่อยหายใจได้เต็มปอดหน่อย”
“อึดอัดขนาดนั้นเลยเหรอ”
“คุณชายรอง!! เอ่อไม่สิ พี่…ต้าเว่ย”
เขามองเธอนิ่ง ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ วันนี้ลู่เหม่ยหลินต่างจากที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้จริง ๆ เธอไม่ใช่แค่ไม่สนใจเขาแต่แทบจะไม่คุยกับเขาเหมือนกับทุกครั้งที่เคยเจอ
“หมดกันช่วงเวลาที่แสนดี”
ต้าเว่ยยังมองเธอก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าเข้ามาหาและนั่งลงข้าง ๆ ทำไมเขาต้องตามเธอมาด้วยนะ เรื่องนี้แม้แต่ตัวเองก็ยังตอบไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็พาตัวเองเดินตามคนตัวเล็กมาถึงตรงนี้แล้ว
“ไม่อยากหมั้นกับผมเหรอ”
“คะ? ก็แค่รู้สึกว่ามันเร็วเกินไปหน่อยก็ฉันยังเด็กอยู่เลยนี่คะ”
เพราะเธอมาอยู่ในร่างของหญิงสาวอายุแค่ยี่สิบสี่ปี แต่สำหรับยุคสมัยนี้ก็คงเป็นวัยที่ควรแต่งงานมีลูกแล้วแต่สำหรับยุคที่เธอจากมาเธอมีอายุยี่สิบหกปีแล้วซึ่งตอนนี้ต้าเว่ยอายุยี่สิบแปด เท่ากับว่าจริง ๆ แล้วทั้งคู่อายุห่างกันแค่สองปี แต่กับเหม่ยหลินในร่างนี้กลับห่างจากต้าเว่ยถึงสี่ปี
“เด็กเหรอ ตลกหรือไงคุณเรียนจบมหาลัยแล้วก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ”
“คะ?”
“ช่างเถอะ เห็นว่ากำหนดวันหมั้นกันแล้ว เอาไว้เจอกันวันงานนะ”
“อะไรของเขา”
ต้าเว่ยเดินกลับไปแล้ว เขาไม่คิดว่าเธอจะอ้างเหตุผลนี้ขึ้นมาซึ่งมันไม่น่าจะออกมาจากปากคนอย่างลู่เหม่ยหลินก่อนหน้านี้ได้เลย แต่วันนี้เธอไม่ได้แต่งตัวเยอะจนดูเกินอายุและหน้าที่แต่งแต้มสีอย่างพอดีก็เผยให้เห็นหน้าที่แท้จริงของเธอ นับว่าเป็นคนไม่ได้ขี้เหร่เพียงแค่ก่อนหน้านี้พยายามสวยเกินวัยมากไปหน่อยเท่านั้น
“ทำไมก่อนหน้านี้ต้องพยายามแต่งตัวดูโตเกินวัยไปด้วย แต่งแบบนี้แต่แรกก็น่ารักดีอยู่แล้ว”
สองเดือนถัดมา
ลู่เหม่ยหลินใช้เวลาปรับตัวกับร่างใหม่อยู่นานกว่าสามเดือน เผลอแป๊บเดียวเธอก็ต้องเข้าพิธีหมั้นกับคุณหมอเฉินต้าเว่ยแล้ว นับว่าช่วงนี้เกิดเรื่องแปลกขึ้นหลายอย่างในบ้านตระกูลลู่
เหม่ยหลินที่ลุกขึ้นมาทำอาหารให้พ่อแม่กินด้วยตัวเองอีกทั้งคุมคนทำความสะอาดบ้านและยังออกแบบชุดงานหมั้นด้วยตัวเองเพราะเธอไม่ชอบชุดที่ช่างตัดเสื้อเสนอมา
“คุณคะนี่ฉันได้ลูกสาวคนใหม่เหรอคะ”
“อย่าว่าแต่คุณเลย เห็นพุงผมนี่ไหมทำไมจู่ ๆ อาหลินถึงได้ทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้ คุณเป็นคนสอนเธอเหรอ”
“เปล่านะคะ คงเรียนมาจากโรงเรียนละมั้งคะ”
“หึ ที่แท้ก็แค่ขี้เกียจสินะ พอโตแล้วจะห่างอกพ่อแม่คงคิดถึงบ้านขึ้นมาละสิ”
“คุณคิดว่าเราไม่ได้เปลี่ยนสาวใช้มานานสามเดือนแล้ว เป็นเรื่องที่ดีไหมล่ะ”
“ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ๆ ดูท่าอาหงจะเอาอยู่สินะ”
“ฉันว่าไม่ใช่หรอก เพราะทุกคนตอนนี้ต่างก็ไม่ได้กลัวหรือไม่ชอบอาหลินเลย เธอยังทำเหมือนกับทุกคนเป็นเพื่อน เวลาลงครัวทีฉันได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาประจำเลย”
“นี่แปลกจริง ๆ หวังว่าหมั้นแล้วคงไม่ทำให้นายพลเฉินขัดใจและยิ่ง…”
“คุณกำลังหมายถึงคุณย่าโจสินะคะ”
“โจไท่อิง” ย่าของเฉินต้าเว่ยเป็นคนที่เข้มงวดและยึดหลักธรรมเนียมโบราณและเป็นคนที่เหมือนลูกชายมาก ๆ เธอไม่ชอบตระกูลลู่เพราะเป็นครอบครัวพ่อค้า แม้ว่าฟางหยงจะมาจากตระกูลทหารแต่ก็เป็นสะใภ้แต่งเข้าตระกูลพ่อค้า เธออยากให้หลานชายคนโตแต่งงานกับ “หลิวซีอิ๋ง” ลูกสาวนายพันหลิวมากกว่า
“เอาเถอะ ยังไม่แต่งก็ไม่ต้องย้ายเข้าไป ลูกยังอยู่กับเราคงไม่มีอะไรหรอก”
“ฉันก็กลัวนะคะ หากว่าไม่ต้องมีเงื่อนไขนี้ก็ดีถ้าลูกเลือกจะไม่หมั้นฉันก็ไม่ขัดข้องหรอก แต่ว่าคุณนายเฉินเอ็นดูอาหลินมาก อีกอย่างหากเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงไม่กล้าพูดแบบนี้ แต่ตอนนี้ลูกเปลี่ยนไปมากแล้วฉันเลยค่อนข้างวางใจ”
“แต่คุณก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เป็นตายยังไงก็อยากจะแต่งคุณชายรองเฉิน ใครห้ามฟังที่ไหนยังขู่จะฆ่าตัวตายด้วยไม่ใช่เหรอ แต่วันที่ไปคุยเรื่องงานหมั้นกลับถามคำถามนั่นออกมาเสียได้ ผมล่ะเดาอารมณ์ลูกสาวคุณไม่ได้จริง ๆ”
“เอาเถอะเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วล่ะค่ะ เย่าหยางจะกลับมาทันใช่ไหมคะ”
“ผมบอกไปแล้วคงจะมาพร้อมกับเรือสินค้าก่อนวันงานนั่นแหละ มาคนเดียวเห็นว่าหลี่เซียงท้องอ่อน ๆ เลยไม่ได้มาด้วย”
“นั่นสิคะ ลืมไปเลยครั้งนี้คงต้องฝากของไปบำรุงครรภ์สะใภ้คนโตสักหน่อยแล้วคุณบอกอนุหว่านหรือยัง”
“บอกไปแล้วคงจะกลับมาสองสามวันนี้แหละเห็นว่ารอรุ่ยถิงสอบเสร็จน่ะ”
“ค่ะ”
“ลู่เย่าหยาง” พี่ชายคนโตของเหม่ยหลินรับช่วงต่อกิจการค้าขายของตระกูลลู่ที่เซี่ยงไฮ้ เขาแต่งงานกับ “หลี่เซียง” ลูกสาวพ่อค้าขายผ้าเมืองปักกิ่งซึ่งทั้งสองคบกันตั้งแต่สมัยเรียนตอนนี้นี้พี่สะใภ้ใหญ่ของเธอกำลังท้องได้สองเดือนกว่า ๆ ไม่สะดวกเดินทางจึงให้สามีกลับมากวางโจว เพียงคนเดียวเพื่อร่วมงานหมั้น
“หว่านเจิน” คือภรรยาอีกคนของลู่ตานถงซึ่งทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกันอีกคนคือ “ลู่รุ่ยถิง” ซึ่งถือเป็นน้องคนเล็กของตระกูลลู่ และเป็นคนที่ลู่เหม่ยหลินเกลียดที่สุด ทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานแต่เพราะรุ่ยถิงอาศัยว่าเรียนดีกว่าจึงขอออกไปพักอยู่ใกล้ ๆ มหาลัยพร้อมกับพาแม่ของเธอไปด้วย
สองวันถัดมา
หว่านเจินและลู่รุ่ยถิงมาถึงบ้านตระกูลลู่ก่อนที่พี่ใหญ่จะกลับมา ทั้งสองแวะมาไหว้พ่อแม่ลู่ก่อนที่จะเข้าไปพัก พ่อลู่สอบถามเกี่ยวกับเรื่องการสอบที่พึ่งผ่านไปของลูกสาวคนเล็ก
เธอเรียนบัญชีซึ่งเป็นสาขาที่ค่อนข้างยากแต่หว่านเจินหวังว่าหากเรียนจบก็สามารถมาช่วยกิจการที่บ้านได้ อีกอย่างอนุหว่านก็หวังจะให้ลูกสาวได้ส่วนแบ่งในธุรกิจตระกูลลู่เพื่อเอาไว้ตั้งตัวด้วย
“อ้าวอาหลิน ลงมาแล้วเหรอมาทักทายแม่เล็กสิ”
คำว่า “แม่เล็ก” เธอได้ยินจากสาวใช้มานานแล้วแม้ว่าจะเป็นคนที่ค่อนข้างทะเยอทะยานแต่ก็ยอมสยบให้ลูกสาวนายพลอย่างแม่ของเธอ แต่กับเหม่ยหลินนั้นหว่านเจินมักจะมีคำพูดเหน็บแนมชนิดพิเศษที่เหม่ยหลินเถียงไม่ออกอยู่บ่อยครั้งเพราะอย่างน้อยการที่ลูกสาวของเธอเรียนเก่งกว่าเหม่ยหลินก็ทำให้เธอภาคภูมิใจ
“สวัสดีค่ะแม่เล็ก”
“สวัสดีจ้ะเหม่ยหลิน แม่เล็กดีใจด้วยนะในที่สุดก็ได้หมั้นกับคุณชายรองเฉิน”
เพียงแค่ประโยคแรกเธอก็รู้ทันทีว่าแม่เล็กตั้งใจเหน็บแนมเธอ ลูกสาวเองก็ไม่ได้ต่างจากแม่เพราะเมื่อเห็นว่าแม่เริ่มเธอก็คุยโม้กับผู้เป็นพ่อทันที
“อาจารย์บอกว่าคะแนนของหนูสูงมากพอที่จะสอบผ่านในเทอมนี้ค่ะพ่อ หนูก็เลยไม่รอผลสอบออกและรีบกลับมาที่บ้านเลย ครั้งนี้น่าจะได้ใช้วิชาที่เรียนมาช่วยคุณพ่อได้แล้วค่ะ”
“นั่นสิคะอาถิงพอจะเริ่มทำงานได้แล้วกลับมาครั้งนี้ จะได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ไม่เอาแต่เที่ยวเล่นใช้เงินไปวัน ๆ เหมือน…. เมื่อก่อนอีก ใช่ไหมจ๊ะเหม่ยหลิน”
แม่เล็กตั้งใจเหน็บแนมเธอ หากเป็นเหม่ยหลินคนเดิมเธอคงได้แต่โกรธและกรี๊ดออกมาดัง ๆ แต่วันนี้สองแม่ลูกกลับรู้สึกขนลุกแปลก ๆ เพราะคุณหนูรองไม่เพียงแค่นิ่งกับคำถากถางนี้กลับนั่งจิบชาด้วยท่าทางที่นิ่งผิดปกติก่อนจะหันมายิ้มให้ทั้งคู่
“แม่เล็กพูดจาแปลก ๆ นะคะ เงินที่ส่งให้รุ่ยถิงเรียน ตระกูลลู่ก็เป็นคนส่งเสีย ให้ ค่ากินค่าอยู่ค่าอาหารที่พักนั่นก็ไม่น้อยเลย กลับมาก็ต้องช่วยงานที่บ้านบ้างก็เป็นเรื่องของคนที่มีจิตสำนึกควรจะต้องทำโดยไม่ต้องให้ใครบอกไม่ใช่เหรอคะ”