ตอนที่ 2 ความในใจ
หานหลินปิงยังคงมีรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า พร้อมกับถือวิสาสะ รินชาที่อยู่ในเหยือกให้กับตนเองด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ก่อนที่จะกล่าวตอบฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวออกไปอย่างใจเย็น
"ท่านแม่ท่านอยากจะรับหลานสาวจากตระกูลเดิมขึ้นมาเป็นหลานสะใภ้ มีวัตถุประสงค์อันใดนั้น คงรู้อยู่แก่ใจตนเองดี เมื่อถึงวันนั้นข้าคงไม่มีตัวตน แม้แต่จะดำรงตำแหน่งฮูหยินเอกของตระกูลจ้าวอีกต่อไปแล้ว เช่นนี้จะให้ข้ายอมโดยง่ายได้อย่างไรเล่า" ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าวจบ ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวก็ตวาดออกมาเสียงดังลั่น
"เจ้ากล้าดีอันใด ถึงได้มาเรียกข้าว่าท่านแม่ เป็นแค่เพียงสตรีชนชั้นต่ำ ที่ข้าไม่เคยคิดจะยอมรับ หมิงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าไปคว้าเจ้ามาได้อย่างไร ที่เจ้าสามารถดำรงตำแหน่งฮูหยินเอกได้จนถึงทุกวันนี้ ก็ถือว่าข้าเมตตาเจ้ามากแล้ว มาถึงวันนี้ยังจองหองอวดดี กล้าโต้เถียงกับข้าอีก หากวันนี้ข้าไม่สั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึก เจ้าคงจะไม่รู้ผิดชอบชั่วดีใช่หรือไม่"
หญิงชรากล่าวออกมาเสียยืดยาว พร้อมกับพรั่งพรูลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหอบ นางพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะควบคุมอารมณ์โกรธของตนเองเอาไว้ ไม่ให้ทะลุออกมาจากอกเสียก่อน พร้อมกับออกคำสั่งของตนเองออกไปด้วยท่าทีที่มาดร้ายและคุกคาม "เด็กๆ จับสตรีผู้นี้ตบปากให้รู้สำนึกเสีย ว่าสิ่งใดควรพูดและไม่ควรพูด"
เหล่าหมัวมัวที่เป็นข้ารับใช้เก่าของฮูหยินผู้เฒ่าจ้าว ตรงรี่เข้ามาเพื่อหมายมาดจะจับกุมหานหลินปิงเอามาลงโทษตามคำสั่ง แต่ก่อนที่พวกนางจะถึงตัวของหานหลินปิงก็ได้กระเด็นกระดอนออกไปไกล อย่างไม่คาดคิดด้วยน้ำมือของสาวใช้คนสนิทของนาง ท่ามกลางความตกตะลึงนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวได้แต่อ้าปากพะงาบ ด้วยความตกใจ
"นี่...เจ้า!!!" หญิงชราชี้นิ้วมาที่ลูกสะใภ้ของตนเองอย่างกรุ่นโกรธ สายตาของนางจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง
หานหลินปิงยืนขึ้นด้วยแผ่นหลังที่เหยียดตรง พร้อมกับจ้องมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวด้วยสายตาของผู้ที่เหนือกว่าอย่างที่นางไม่เคยแสดงออก ความสง่างามดุจดั่งนางพญาที่จ้องมองเหยื่อของนางในตอนนี้ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวถึงกับตัวสั่นเทาอย่างไม่คาดคิด
"ลูกสะใภ้ที่ต่ำต้อยกระนั้นหรือ ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสะใภ้ที่ต่ำต้อยเช่นข้าตระกูลจ้าวจะสามารถผงาดขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร ท่านลองไปคิดทบทวนดู แค่ครอบครัวคหบดีเล็กๆ ที่แทบจะล้มละลายอยู่แล้ว หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากข้า ป่านนี้เกรงว่าแม้แต่ตัวท่านเอง คงได้ไปใช้แรงงานเป็นทาสอยู่ในถิ่นทุรกันดารสักแห่งกระมัง ไม่กล่าวขอบคุณสักคำข้าไม่ว่า แต่นี่ยังมาดูถูกเหยียดหยามว่าข้าต่ำต้อย พวกท่านใช้สิทธิ์อันใดมาต่อว่าข้าเช่นนั้น ข้าให้ความช่วยเหลือทุกอย่างเช่นทุกวันนี้ ยังไม่เห็นค่า งั้นต่อจากนี้พวกท่านก็จงยืนด้วยลำแข้งของตนเองเถิด ข้าก็อยากจะรู้เช่นกัน ว่าตระกูลจ้าวจะไปได้สักกี่น้ำ"
ก่อนที่หญิงสาวจะสะบัดกายเดินจากไป ก็ไม่ลืมที่จะหันมามองฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวที่อ้าปากพะงาบคล้ายกับจะกล่าวสิ่งใด แต่ก็ไม่สามารถกล่าวมันออกมาได้ "ลูกสะใภ้ที่โง่เขลาผู้นั้นได้ตายจากไปแล้ว ต่อจากนี้จะมีเพียงแค่ หานหลินปิง สตรีที่พวกเจ้าครั้งหนึ่งเคยมองว่าไร้ประโยชน์ผู้นี้"
ท่ามกลางความตกตะลึงอย่างไม่คาดคิด เหล่าข้ารับใช้ที่คอยปรนนิบัติหานหลินปิง ได้แต่ปรบมืออย่างดีใจ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของนายหญิง พวกนางได้แต่ กล้ำกลืนฝืนทน เมื่อถูกเอารัดเอาเปรียบ จากผู้คนในจวนแห่งนี้หลายต่อหลายครั้งแต่ผู้เป็นนายก็ไม่เคยคิดที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ หรือทวงความยุติธรรมให้กับตนเอง เมื่อเรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้น ถึงแม้พวกนางจะรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ไม่น้อย แต่ก็รู้สึกดีใจ ที่ในที่สุดนายหญิงของตนเองก็ได้ลุกขึ้นมาสู้เพื่อตนเองอีกครั้ง แบบนี้สิถึงจะสมเป็นท่านหญิงแห่งแคว้นถัง สตรีอันดับหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถหยามเกียรติได้
แน่นอนว่าเรื่องราวในวันนี้ จะต้องรู้ไปถึงหูของจ้าวฝูหมิงอย่างแน่นอน ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวเรียกเขาไปพบในวันนั้น พร้อมกับเสียงตวาดลั่นออกมาจากในตัวเรือน บ่งบอกได้ว่าผู้เป็นเจ้าของน้ำเสียงนั้นกำลังรู้สึกโกรธมากเพียงใด เขาเดินออกมาจากเรือนของผู้เป็นมารดา ด้วยใบหน้าที่ดูสับสน สตรีที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาถึง 2 ปี สตรีที่มีความอ่อนโยน ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ไม่เคยขัด ในวันนี้นางจะมาหาเรื่องผู้เป็นมารดาของเขาจนเดือดดาลได้ถึงเพียงนี้จริงๆ กระนั้นหรือ
จ้าวฝูหมิงได้แต่เดินออกมาด้วยใบหน้าที่ดูสับสน ขาของเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย เพียงแค่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
ประตูเรือนของผู้เป็นฮูหยินเอกได้ถูกเปิดขึ้น พร้อมกับใบหน้าอันคุ้นเคยของผู้เป็นสามีก็ได้ปรากฏ แต่หญิงสาวไม่แม้แต่จะหันไปมอง ก็รับรู้ได้ถึงการมาของเขา นางยังคงขะมักเขม้น เพื่อตรวจนับสมบัติของตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ จนผู้เป็นสามีต้องเอ่ยบางประโยคขึ้น เพื่อให้นางรับรู้ถึงการมาของตนเอง
"หลินเอ๋อร์ นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดเจ้าถึงต้องไปทำให้ท่านแม่โกรธเคืองถึงเพียงนั้น"
นั่นคือประโยคแรกของผู้เป็นสามีคิดจะกล่าวถามภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก หานหลินปิงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ เขาไม่คิดถามไถ่ถึงสาเหตุในการที่นางทำเช่นนั้น แต่ประโยคนี้คล้ายกับจะเป็นการกล่าวโทษนางอยู่หลายส่วนเสียมากกว่า ใบหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยความว่างเปล่า พร้อมกับกล่าวตอบเขาออกไปอย่างใจเย็น
"การที่ลูกสะใภ้และแม่สามีจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ ในเมื่อข้าไม่พอใจ ก็ควรที่จะแสดงถึงจุดยืนของตนเองออกไปให้ชัดเจนเพียงเท่านั้น แต่หากท่านไม่พอใจในการกระทำของข้า คิดโทษข้าก็เชิญตามสบาย ข้าไม่มีอันใดจะโต้แย้ง"
"มันจะเป็นเรื่องธรรมดาได้เช่นไร เจ้าควรที่จะตามใจท่านแม่ ให้ท่านรู้สึกพอใจรักใคร่ในตัวเจ้า แต่นี่กลับไปทำให้ท่านแม่เดือดดาลถึงเพียงนั้น แล้วเช่นนี้ ท่านจะมีความโปรดปรานต่อเจ้าได้เช่นไรมิใช่ว่าหากทำเช่นนั้น ชีวิต ต่อจากนี้จะยิ่งลำบากไม่ใช่หรือ ที่ข้าพูดเพราะเป็นห่วงความเป็นอยู่ของเจ้าต่อจากนี้ต่างหากเล่า"
เพียงฟังคำพูดที่ออกมาจากปากของผู้เป็นสามีจบ หญิงสาวก็หัวเราะออกมาเสียงดัง โดยไม่รักษากิริยา นางยังคงมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะพร้อมกับจ้องมองไปที่เขา คล้ายกับสิ่งที่เขากล่าวมาเมื่อสักครู่นี้เป็นเรื่องตลกที่นางยากจะเชื่อได้ลง
"จ้าวฝูหมิงหนอจ้าวฝูหมิงทุกอย่างท่านดีหมด ติดอยู่แต่เพียงเรื่องที่เชื่อฟังมารดาเสียยิ่งกว่าอะไร มารดาบอกให้ทำสิ่งใด ก็จะทำเช่นนั้น บอกให้ไปซ้ายก็ไปซ้าย บอกให้ไปขวาก็ไปขวา หากวันหนึ่งท่านแม่บอกให้ท่านหย่าขาดจากข้าหรือปลดข้าออกจากตำแหน่งฮูหยินเอก วันนั้นท่านจะทำตามอย่างที่นางต้องการหรือไม่ ข้าสงสัยในจุดยืนนี้เสียจริง"
"หลินเอ๋อร์นี่เจ้าเอาอะไรมาพูด ท่านแม่จะสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างไรท่านโปรดปรานและรักใคร่เอ็นดูเจ้ามากถึงเพียงนั้น เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายท่านอย่างไม่มีมูลความจริงเช่นนี้"
ใบหน้าของหานหลินปิงเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาในทันที เมื่อได้ยินประโยคนี้ของผู้เป็นสามี นางกล่าวประโยคที่อยู่ในใจของ เจ้าของร่างออกมา แทบจะหมดเปลือกเพื่อเปิดโลกให้กับสามีผู้นี้ได้รับรู้ถึงความเป็นจริงที่ภรรยาของเขาต้องเผชิญ ด้วยอารมณ์ที่กรุ่นโกรธแทน
"โปรดปรานหรือ…โปรดปรานด้วยการที่บังคับให้นางยอมตกลงให้ท่านมีอนุภรรยาเข้ามาทั้งๆ ที่เพิ่งแต่งงานกันได้แค่ 1 ปี โปรดปรานในการที่ไม่ว่าอนุเหล่านั้นจะกล่าวสิ่งใดก็เป็นข้าที่ผิด และโดนทำโทษเสมอ โปรดปรานโดยการที่บังคับให้ข้ามอบสมบัติติดตัวของตนเองไปให้กับอนุภรรยาเหล่านั้นของท่าน เท่านั้นยังไม่พอ…"หานหลินปิงหายใจเข้าลึกอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ก่อนที่จะกล่าวต่อ "ล่าสุดนี้ ความโปรดปรานที่มารดาของท่านมีให้ข้า ก็คือจะยัดเยียดฮูหยินรองให้กับท่านอีกคน เมื่อถึงตอนนั้น ข้ายังจะมีที่ยืนในจวนแห่งนี้ได้อีกเช่นไร จ้าวฝูหมิงท่านตื่นเสียทีตื่นมาพบกับความเป็นจริงที่ข้าต้องเผชิญอยู่ทุกวันนี้ การกดขี่ข่มเหงของผู้เป็นแม่สามี ที่ไม่เคยจะมีความยุติธรรมให้กับข้านั้น มันทำให้ข้ารู้สึกทุกข์ทรมานมากเพียงใด"
หานหลินปิงถอนหายใจของตนเองพร้อมกับหลับตาลง เพื่อรับรู้ถึงความรู้สึกทรมานเหล่านั้นของผู้เป็นเจ้าของร่าง ร่างกายของนางสั่นเทา เมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้นอีกครั้ง
"ชีวิตของฮูหยินเอกในจวนตระกูลจ้าวเทียบกับบ่าวรับใช้ที่ต้องรองรับทุกการกระทำของผู้ที่อยู่ในจวนแห่งนี้ ท่านปิดหูปิดตาไม่รับรู้หรือว่าไม่รู้จริงๆ กันแน่ ชีวิตที่ผ่านมาใน 2 ปีของข้านั้นเป็นเช่นไร"
"ไม่จริง!!!..มันจะเกิดเรื่องราวเช่นนั้นขึ้นมาได้อย่างไร" ใบหน้าของเขาคล้ายกับเห็นผี แทบจะไม่เชื่อในเรื่องราวที่เพิ่งได้ยินร่างกายของเขาเซถอยหลังไปหลายก้าว ด้วยความอ่อนแรง ถึงแม้นปากจะปฏิเสธออกไปเช่นนั้น แต่เมื่อคิดไปถึงหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาบางอย่าง ก็ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธมันออกมาได้เต็มปากเช่นกัน
"ท่านรู้อยู่แก่ใจดีว่ามันจริงหรือไม่ ที่ผ่านมาข้าไม่เคยนึกเสียใจ กับเรื่องที่ถูกรังแกมาทั้งหมดนั้น มีเพียงเรื่องเดียวที่ติดค้างในใจ ก็คือการที่สามีเช่นท่าน ไม่เคยปฏิเสธมารดาแม้แต่เพียงสักครั้ง แล้วเลือกที่จะทำให้ข้าเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นต่างหากเล่า ที่ทำให้ข้านึกผิดหวังอยู่จนถึงทุกวันนี้ ที่เลือกแต่งให้กับท่าน"
เรื่องที่คิดว่าติดค้างในใจ ก็ได้พูดออกไปจนหมดแล้ว นี่คงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางจะสามารถตอบแทนให้กับเจ้าของร่างได้ สามีผู้นี้ดีไปหมดทุกอย่าง ติดแค่เพียงเรื่องเดียว ที่เชื่อมารดาเสียจนไม่ลืมหูลืมตา จนเผลอทำร้ายผู้เป็นสตรีคนรักของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า จะมีสตรีใดเล่าที่จะสามารถเปิดกว้างให้สามีตนเอง มีสตรีอื่นได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่ด้วยความที่ถูกสั่งสอนและเลี้ยงดูมาให้ถือปฏิบัติกันมาเช่นนั้น พวกนางจึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะกล่าวสิ่งใดออกไปได้ เพื่อโต้แย้งกับความจริงข้อนี้จริงๆ