บทที่ 1 หญิงสาวผู้แบกทุกข์
เย็นวันศุกร์
เวลาทุ่มสิบนาที รถเก๋งสัญชาติญี่ปุ่นสีขาวแล่นเข้าไปหมู่บ้านจัดสรรในจังหวัดหนึ่งไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก ผ่านทั้งสามซอยแรกที่เป็นบ้านแบบทาวน์เฮาส์ ตรงดิ่งไปยังท้ายซอยอันเป็นบ้านสองชั้น มีรั้วรอบขอบชิด มีพื้นที่จัดสวนให้พอได้หายใจหายคอ เป็นซอยเดียวที่บ้านแปดหลังในซอยนั้นราคาสูงที่สุดในโครงการแต่เพราะความเก่าของโครงการที่เนิ่นนานกว่ายี่สิบปีจึงทำให้บ้านสีขาวมันหม่นลง รั้วคอนกรีตมีรอยกระดำกระด่างตามกาลเวลา
รถยนต์คันนั้นจอดหน้ารั้วของบ้านหลังสุดซอย กดเลื่อนกระจกรถลง หยิบรีโมตประตูรั้วขึ้นมากดและมันค่อย ๆ เลื่อนเปิดอย่างเชื่องช้า เธอกดย้ำ ๆ ราวกับว่ามันจะเลื่อนไวขึ้นหากทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่
คิ้วสวยได้รูปเหนือดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิด ไม่ใช่แค่เรื่องประตูเลื่อนช้าหรอก แต่เพราะเรื่องอื่นสุมรุมอัดแน่นราวกับเธอเป็นถังขยะใบโตที่เทศบาลลืมมาเก็บ
เธอจอดรถในโรงรถด้านข้างรถยนต์เจ็ดที่นั่งที่พ่อของเธอพึ่งเอาคันเก่าที่พึ่งออกมายังไม่ทันถึงสองปีและแน่นอนว่ายังผ่อนไม่หมดแล้วนำไปเทิร์นคันใหม่มาเมื่อต้นปี ถัดไปเป็นรถยุโรปของแม่ที่ผ่อนไม่หมดเช่นเดียวกัน ถัดไปอีกเป็นรถ SUV สัญชาติญี่ปุ่นที่เสียแล้วไม่ยอมนำไปซ่อม จอดทิ้งไว้แบบนั้น
ส่วนเธอผู้เป็นลูกสาวนั้นโดยปกติจะพักที่คอนโดมิเนียมใกล้ที่ทำงานแล้วกลับบ้านเฉพาะวันหยุดเท่านั้น แต่ทั้งพ่อทั้งแม่ก็ยังดึงดันจะซื้อรถคนละคัน ทั้ง ๆ ที่ที่ทำงานก็อยู่โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดเดียวกันแท้ ๆ และไอ้รถเจ็ดที่นั่งนั่นก็กินน้ำมันเหลือเกิน แต่ก็อย่างที่พ่อกับแม่พูดเสมอแหละ
“ รถยนต์ทรัพย์สินมันเป็นหน้าเป็นตาให้เราได้นะ แกก็รู้จักซื้อรถยุโรปมาขับบ้าง ไม่งั้นก็เจ็ดที่นั่งก็ได้ นี่อะไร ขับรถเก๋งญี่ปุ่นคันเล็ก ๆ ไม่สมฐานะหัวหน้าฝ่ายเลย ลูกครูทองเปลวน่ะเขาพึ่งออกปาเจโร่ตัวใหม่มา สวยเชียว ”
เป็นหน้าเป็นตา สมฐานะ มีเกียรติ คำคำนี้ที่เธอมักจะได้ยินพ่อกับแม่พูดอยู่เสมอ จนบางครั้งต้องเดินหนีเพราะกลัวจะอ้วกเกียรติและศักดิ์ศรีออกมาเสียก่อน
เธอลงจากรถแล้วเปิดประตูรถด้านหลัง หอบกระเป๋าถือและกระเป๋าแล็ปท็อปไว้ในมือก่อนสาวเท้าผ่านต้นมะม่วงอกร่องที่ทั้งดอกทั้งใบร่วงเกลื่อนอยู่เต็มพื้นโดยปราศจากการกวาดเก็บ ต้นไม้ดอกไม้ที่ปลูกไว้รอบบริเวณบ้างก็เหี่ยวเฉา บ้างก็ยืนต้นตายเพราะขาดน้ำขาดการดูแล
เครื่องหน้าจิ้มลิ้ม ตาโต ปากนิด จมูกหน่อยภายใต้ใบหน้ารูปไข่ ผิวใสอมชมพูตามธรรมชาติ มันควรจะสดใสตามวัยยี่สิบเก้าขวบปีกำลังเป็นวัยเริ่มต้นชีวิต เป็นวัยผลิบานสู่ผู้ใหญ่ เป็นวัยสร้างอนาคตไฟแรงเจิดจ้า แต่ยามนี้มันกลับหม่นหมองเครียดขึ้ง ดวงตาหม่นแสง ไฟในกายที่มันควรจะโชติช่วงกลับริบหรี่ เธอรู้สึกว่าตัวเองแก่เกินอายุไปเป็นสิบ ๆ ปี
มิถุนา ศญารัตน์ หรือจูน คือหญิงสาวแบกทุกข์วัยยี่สิบเก้าผู้นี้
เธอสาวเท้าเข้าไปในประตูบ้านไม้สักแกะสลักรูปมังกรราคาเกินครึ่งแสนที่ ท่าน ผอ.ประชา ศญารัตน์ พ่อของเธอพึ่งจะสั่งมาเปลี่ยนเป็นครั้งที่สี่ทั้งที่ประตูเดิมก็ไม่ได้พังเสียหาย เหตุผลก็เพราะว่ารองผู้อำนวยการโรงเรียนพึ่งเปลี่ยนเพื่อฮวงจุ้ยบ้านที่ดี ตัวพ่อของเธอเองที่มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนก็เลยน้อยหน้าไม่ได้ ต้องสั่งที่ใหญ่กว่าและแพงกว่ามาเปลี่ยนบ้างจึงจะสมฐานะและตำแหน่งอันมีเกียรติ
ไอ้ประตูรีโมตหน้าบ้านนั่นก็เหมือนกัน เธอรู้สึกไม่ชอบใจเลยทั้งราคาที่แพงจนไม่สมเหตุสมผล ทั้งสภาพสินค้าที่ดูมะล้องก๊องแก๊ง ติดตั้งมาสามเดือนแต่ซ่อมไปแล้วสี่ครั้ง เหตุผลแค่เพราะแม่ของเธอต้องการอุดหนุนลูกศิษย์ที่พึ่งเปิดร้านทำประตูรีโมต ลูกศิษย์คนนั้นทั้งชมทั้งสรรเสริญยกยอให้ อาจารย์มนีญา ศญารัตน์ คนสวยและใจดีของศิษย์ลองติดตั้งดู เขาจะลดราคาให้เป็นพิเศษ แม้คนเป็นลูกสาวจะลองสืบค้นในอินเทอร์เน็ตดูแล้วว่าร้านอื่นในย่านจังหวัดที่อาศัยอยู่รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียง พบว่าราคาเบากว่าลูกศิษย์แม่เกือบจะครึ่ง แต่ท่านก็ยืนยันว่าจะติดตั้งกับคนนั้นเพราะเขาบอกว่าสินค้าของเขาคุณภาพดีกว่าที่อื่น
ทั้งพ่อและแม่เป็นแบบนี้มาตลอด ใครจะมาขายอะไรให้ ขอแค่สรรเสริญเยินยอ แค่ป้อนคำหวานให้ถูกจิตถูกใจ ทั้งคู่ก็พร้อมจะทำได้ทุกอย่าง
ซึ่งอันที่จริงแล้วมิถุนารู้ดีว่าเหตุผลหลักที่ทั้งพ่อทั้งแม่เป็นแบบนี้ก็เพราะแค่ต้องการรักษาภาพลักษณ์ สร้างภาพให้ชาวบ้านชาวช่องเห็นว่าตัวเองดี ร่ำรวย น่านับถือ มีเกียรติอะไรก็ว่ากันไป
หรือที่เรียกง่าย ๆ ประสาชาวบ้านว่า หน้าใหญ่ นั่นแหละ
คนเดียวที่รู้ถึงความข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงของบุพการีก็มีแต่เธอเท่านั้น
เงินเดือนผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษและอาจารย์ชำนาญการพิเศษที่อีกสองปีจะเกษียณอายุนั้นถือว่าไม่ได้น้อย รวมสองคนก็แสนกว่าบาท แต่ใบรับรองเงินเดือนของทั้งคู่เหลือรับจริงไม่ถึงเดือนละสามพันบาทด้วยซ้ำไป
เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะกู้ยืมจนหมดทุกสถาบันการเงิน อย่างเดียวที่ไม่ได้กู้ก็เห็นจะมีแต่ระเบิด
ถามว่าเหลือแค่นั้นแล้วพอใช้ไหม คำตอบคือมันจะพอได้ยังไงล่ะในเมื่อทั้งคู่จมไม่ลง หน้าใหญ่ ออกงานสังคมบ่อย ชุดก็ใส่ซ้ำไม่ได้ โดยเฉพาะแม่ที่ต้องตัดผ้าไหมแพง ๆ ใหม่ทุกงาน ไหนจะค่ากินค่าอยู่ค่าน้ำค่าไฟค่าน้ำมัน ค่าอื่น ๆ อีกจิปาถะ เลยเกิดการกู้หนี้นอกระบบมาหมุนใช้ เอารถเข้าไฟแนนซ์ เอาที่ไปจำนองหรือไม่ก็ขายกินจนมรดกตกทอดจากปู่ย่าตายายไม่เหลือแล้ว
ภาระทั้งหมดก็เลยตกมาที่เธอ ลูกสาวคนเดียวที่โดนกรอกหูมาตั้งแต่จำความได้ว่าเกิดเป็นลูกต้องกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา ไม่อย่างนั้นจะเป็นบาป ตกนรกหมกไหม้ชั่วกัปกัลป์ ทำงานได้เงินแล้วก็ต้องเอามาจุนเจือครอบครัวบำรุงดูแลพ่อแม่
มิถุนาไม่ติดใจเลยที่จะต้องกตัญญูดูแลพ่อแม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือแม้จะลำบาก แม้รู้ดีว่าหนี้ท่วมหัว เงินเดือนไม่พอใช้แต่ทั้งคู่ก็ยังจมไม่ลง ใช้จ่ายเงินฟุ้งเฟ้อเกินตัว หาเงินมาให้เท่าไหร่ก็ถมไม่เต็ม เหมือนเทน้ำลงบนผืนทรายละลายหายไปในชั่วพริบตา แต่ถ้าไม่มีให้ก็จะหาว่าเป็นลูกทรพี
คำถามในใจของมิถุนาที่มีมาตลอด คือคนเป็นลูกต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ แม้ว่าทั้งคู่จะทำเรื่องแย่กับคนเป็นลูกอย่างไรก็ตามงั้นหรือ ?
ตั้งแต่จำความได้ตั้งแต่อนุบาล มิถุนาต้องทำงานบ้านทุกอย่าง ตื่นเช้ามาต้องกวาดถูบ้านก่อนไปโรงเรียน เย็นกลับมาต้องรดน้ำต้นไม้ หุงข้าว ล้างจาน โตขึ้นมาอีกนิดเข้าชั้นประถมพอที่จะใช้ไฟได้ก็ต้องรับหน้าที่หัดทำกับข้าวด้วย เสาร์อาทิตย์อย่าหวังจะได้ไปเล่นกับเพื่อนในหมู่บ้านเหมือนเด็กทั่วไป เพราะเธอต้องซักรีดเสื้อผ้าของคนทั้งครอบครัว ทำความสะอาดบ้านขนานใหญ่ทั้งนอกและในบ้าน ตัดต้นไม้ ตัดรั้ว และอีกจิปาถะ
และอีกเหตุผลที่พ่อแม่ไม่ให้เธอไปเล่นกับเพื่อน ๆ ก็เพราะว่า เธอเป็นลูกใคร จะไปเล่นกับลูกชาวบ้านสกปรกมอมแมมได้ยังไง มันไม่สมเกียรติลูกสาวอาจารย์และท่าน ผอ.
ซึ่งมิถุนาเองก็ไม่เข้าใจว่าชาวบ้านชาวช่องเขาไม่มีเกียรติตรงไหน เกียรติไม่ได้ขึ้นอยู่แค่หน้าที่การงานหรือตำแหน่ง เกียรติไม่อยู่ที่อายุหรือผมหงอกบนศีรษะ แต่เกียรติขึ้นอยู่กับการกระทำของคนคนนั้นต่างหาก
บ่อยครั้งที่เด็กหญิงมิถุนาตัวน้อยนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่ลำพังเพราะพ่อแม่ไปออกงานกลับบ้านดึก เสาร์อาทิตย์ก็แทบไม่อยู่ติดบ้าน ทิ้งเงินไว้ให้เธอร้อยสองร้อยให้ใช้จ่ายทั้งอาทิตย์ก็มี ขอเพิ่มก็โดนด่าหาว่าใช้จ่ายไม่ประหยัด พ่อแม่มีหนี้มีสินกว่าจะสร้างตัวมาได้ขนาดนี้
เด็กหญิงมิถุนาเรียนรู้ที่จะประหยัดอดออม เมนูประจำบ้านคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับไข่ เรียนรู้ที่จะปลูกผักสวนครัวไว้หลังบ้านเพื่อที่จะนำมาผัดใส่ไข่ราดข้าวกินบ้าง ขนมขบเคี้ยวอย่าไปใฝ่ฝันถึง
เพราะความไม่ค่อยมีเพื่อนทำให้มิถุนาชอบขลุกอยู่ในห้องสมุด อ่านหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า เจอสูตรผักชุบแป้งทอดกรอบก็ลองเอามาทำดูบ้าง รู้สึกว่ามันอร่อยแทนขนมขบเคี้ยวได้ ก็เริ่มประยุกต์เอาโน่นเอานี่มาชุบแป้งทอด หัดทำอาหารจากสูตรในหนังสือที่พอจะหาวัตถุดิบง่าย ๆ ได้ พอได้คลายความอยากและความเหงาของเด็กน้อยได้บ้าง
แต่ก็นั่นแหละ มันช่วยได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม สุดท้ายเธอก็เป็นแค่เด็กที่ต้องการความรักความอบอุ่นในครอบครัวเหมือนคนอื่นเขา