บทนำ
บทนำ
การย้ายโรงเรียนบ่อยไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนักหรอก เพราะมันเท่ากับว่าเราต้องเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสิ่งรอบข้างและคนรอบตัวใหม่อีกครั้ง
สำหรับฉันนี่คงเป็นครั้งที่ห้าแล้วถ้านับตั้งแต่เข้าเรียนชั้นอนุบาล ต้องย้ายโรงเรียนตามพ่อกับแม่เพราะพวกท่านมีเหตุจำเป็นต้องย้ายสถานที่ทำงานอยู่บ่อยๆ ย้ายทีไม่ใช่แค่ต่างหมู่บ้านหรือต่างอำเภอแต่ต้องไปไกล จากเหนือลงใต้ เรียกได้ว่าย้ายไปเกือบทุกภูมิภาคมาแล้วก็ว่าได้
มันเลยกลายเป็นว่าฉันเริ่มคุ้นชินกับการที่ต้องเริ่มต้นการใช้ชีวิตใหม่ในโรงเรียนไปแล้ว แถมชีวิตนี้เลยไม่มีเพื่อนสนิทเลยสักคนเพราะเข้าเรียนที่หนึ่งก็ใช้เวลาแค่สองถึงสามปี บางที่เรียนแค่ปีเดียวเท่านั้น
ครั้งนี้มันต่างออกไปสักหน่อยตรงที่ฉันไม่ได้ย้ายตามพ่อกับแม่ เพราะมีเหตุผลคือโรงเรียนกับสถานที่ทำงานค่อนข้างห่างไกลและเดินทางลำบาก พ่อกับแม่จึงตัดสินใจให้ฉันย้ายกลับมาอยู่แถวบ้านเก่าที่เราเคยอยู่สมัยที่ฉันยังเรียนชั้นอนุบาล มาอาศัยอยู่กับป้าจันทร์พี่สาวคนเดียวของพ่อซึ่งที่นี่ก็คือบ้านของปู่กับย่า แต่ตอนนี้พวกท่านไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว
ในบ้านจึงมีสมาชิกอยู่แค่สองคนคือป้าและพี่เฟรม ลูกชายของป้าจันทร์ที่แก่กว่าฉันหนึ่งปีเราเรียนคนละที่ทำให้เจอกันแค่ตอนอยู่บ้านแต่พี่เฟรมก็เป็นคนที่ฉันสนิทที่สุดเพราะเราได้ติดต่อกันตลอดตั้งแต่สมัยเด็ก
ถึงแม้ว่าจะเป็นย่านที่เคยอยู่แต่ผู้คนที่นี่ก็ยังคงเป็นคนแปลกหน้าสำหรับฉันเพราะแทบไม่รู้จักใครเลยนอกจากญาติสองคนในบ้าน
"ไงเด็กใหม่"
ขณะที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยใครบางคนก็ทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ทำให้ฉันหลุดจากความคิดแล้วหันไปมองคนคนนั้นที่กำลังยืนยิ้มอยู่อย่างกวนๆ
"คะ" ฉันโต้ตอบคำทักทายจากผู้ชายในชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน ซึ่งอยู่ๆเขาก็ทักทายทั้งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
ตอนนี้เป็นเวลาใกล้เลิกโรงเรียนแล้วแต่ฉันยังติดภารกิจสำคัญที่เพิ่งถูกครูปกครองสั่งให้ทำเมื่อตอนเที่ยงนี้
"ชื่ออะไรเรา"
ดูจากสัญลักษณ์บนป้ายชื่อแล้วเขาคงเป็นรุ่นพี่อย่างแน่นอน ท่าทางของเขาดูเป็นมิตรพอสมควรเพราะดูจากคำทักทายและแววตาที่สดใสนั่น
"พราว...ค่ะ"
ฉันตอบแล้วยิ้มให้นิดหนึ่งตามมารยาท จากนั้นก็รดน้ำดอกไม้ตรงหน้าโรงเรียนที่ตอนนี้เริ่มผลิดอกให้เห็นแต่ยังไม่บานสะพรั่ง คาดว่าคนปลูกคงเตรียมการมาอย่างดีเพื่อให้มันเบ่งบานในช่วงงานเทศกาลสานสัมพันธ์กับอีกหลายโรงเรียน
"มาไม่กี่วันโดนทำโทษละ" เขาพูดพร้อมกับติดหัวเราะตรงท้ายประโยค
"มาสายค่ะ" ยอมรับว่ามันเป็นความผิดของตัวเองเพราะวันนี้ฉันมัวแต่ยุ่งกับเรื่องคนอื่นจนต้องเข้าโรงเรียนเกือบเที่ยง
ก็คุณยายที่ชอบมานั่งขายขนมตรงปากซอยใกล้ๆโรงเรียน วันนี้แกรถล้มเลยขนของลำบาก ฉันเลยอาสาไปช่วยจนลืมดูเวลาเข้าโรงเรียน คุณยายเขารับขนมจากป้าจันทร์ไปขายแถมแกยังถูกลูกๆทิ้งให้อยู่คนเดียว จะให้ฉันใจดำกับแกได้ยังไง...
"อ่อ ซ่าน่าดู"
ฉันไม่ได้ตอบกลับคำพูดนั้นของเขา แต่ก็ยิ้มเพียงนิดเพื่อไม่ให้เสียมารยาท พักหนึ่งเขาก็วิ่งกลับไปยังสนามบอลที่ถูกเพื่อนเรียกอยู่
ฉันเดินไปยังก๊อกน้ำที่ติดกับด้านในรั้วซึ่งห่างจากผู้ชายคนนั้นที่อยู่ฝั่งด้านในโรงเรียนไม่กี่เมตร ด้วยความขี้เกียจจึงแอบขโมยสายยางความยาวเพียงหนึ่งเมตรกว่าของลุงภารโรงมาด้วยจะได้ไม่ต้องเดินอ้อมเข้าไปเติมน้ำใส่ฝักบัวด้านในโรงเรียน แค่เอื้อมมือผ่านรั้วเข้าไปต่อสายยางเข้ากับก๊อกน้ำแล้วเติมจากด้านนอก เดี๋ยวก็คงได้กลับบ้านสักที
ซ่า~
"เฮ้ย! เชี่ยไรวะเนี่ย"
ขณะที่ต่อสายยางเข้ากับก๊อกน้ำและมั่นใจว่ามันคงแน่นพอที่จะไม่หลุดจากกันจึงเปิดน้ำจนสุด แต่นอกจากน้ำจะไม่ไหลมาตามสายแล้วหัวก๊อกน้ำยังหลุดออกจากข้อต่อจนน้ำพุ่งไปอีกฝั่งหนึ่งด้านในโรงเรียนที่มีพุ่มไม้เรียงกันเป็นแถว
"ชิบหายแล้ว!" ฉันเผลอพูดหยาบคายออกมาเพราะตกใจกับน้ำที่พุ่งแรงไปข้างหน้าแต่ไม่เท่ากับที่มันดันไปโดนใครสักคนที่น่าจะอยู่อีกฝั่งหนึ่งของพุ่มไม้นั่น
ทำไงดีวะพราว!
สมองของฉันประมวลผลได้ไม่นานหันซ้ายหันขวาหาทางออก ขณะเดียวกันก็ปรากฏเงาของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นผู้เสียหายจากเหตุการณ์นี้รวมไปถึงเพื่อนๆของเขาที่พากันเดินตามมาดูเริ่มขยับยั้วเยี้ยออกมาจากอีกฝั่งของพุ่มไม้
สัญชาตญาณความเอาตัวรอดของฉันทำงานโดยอัตโนมัติด้วยการรีบหมอบอยู่ตรงริมรั้วซึ่งครึ่งหนึ่งจะก่ออิฐหนาทึบไม่มีช่องว่างให้มองเห็นภายนอก
"ใครทำวะ! ถ้ามึงไม่ออกมากูตามไปกระทืบแน่"! น้ำเสียงดุๆทำเอาฉันต้องหลับตาปี๋ ต่อให้หน้าใสๆที่ไม่เคยมีสิวขึ้นจะต้องแปดเปื้อนดินทรายฉันก็ยอม
ฟังเสียงดุๆนั่นแล้วภาพจินตนาการของผู้ชายคนนั้นคือหมีควายชัดๆ แถมยังขู่ว่าจะกระทืบอีก
ใครยอมรับก็บ้าแล้ว!
*******************